กฎหมายสำหรับผู้รักร่วมเพศ
ปัญหารักร่วมเพศมิใช่ว่าเพิ่งเริ่มมีขึ้นในปัจจุบัน
หากแต่มีมานานแล้ว แม้แต่ในสมัยคริสตกาล๑ กระนั้นก็ตามสังคมบางสังคมในสมัยโบราณก็มิได้ว่าการรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดปกติหรือเสียหายแต่อย่างใด๒
แต่กรณีหลังนี้ ดูจะเป็นข้อยกเว้นมากกว่าหลักทั่วไป เพราะโดยทั่วไปแล้ว
ไม่ว่าในสังคมโบราณ หรือแม้แต่ในสังคมปัจจุบันเอง
สถานะของผู้รักร่วมเพศยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ตรงกันข้าม
กลับถูกมองอย่างเหยียดหยามในสายตาของสังคมทั่วไป บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของสังคมในปัจจุบันที่มีต่อสถานะของผู้รักร่วมเพศ
โดยจะศึกษาทัศนคติของศาลในประเทศอเมริกา ซึ่งมีปัญหาของผู้รักร่วมเพศอยู่มาก
และมีคดีขึ้นสู่ศาลเป็นประจำ
และจะศึกษาถึงสถานะของผู้รักร่วมเพศในสายตาของกฎหมายไทย โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ ๕ ว่าด้วยครอบครัว
ก่อนที่จะพิจารณาถึงทัศนคติของศาลหรือสถานะทางกฎหมายของผู้รักร่วมเพศ
คำถามแรกที่ไม่ควรมองข้าม คือคำถามที่ว่า
ทำไมผู้ที่รักร่วมเพศจึงเรียกร้องให้สถานะของตนเป็นที่ยอมรับในสายตาของกฎหมาย
คำถามนี้ไม่ว่าในอเมริกาหรือที่อื่นใดในโลก คำตอบคงออกมาทำนองเดียวกัน คือ ประการแรก
ผู้รักร่วมเพศต้องการให้กฎหมายรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
และชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากฎหมายเป็นหลักประกันประการสำคัญที่จะทำให้สถานะของตนเป็นที่ยอมรับและประการที่สองก็เป็นผลสืบเนื่องมาจาก
ประการแรกกล่าวคือ เมื่อกฎหมายรับรองสถานะของบุคคลดังกล่าวแล้ว
ตนจะได้มีสถานะเช่นเดียวกับคู่สมรสต่างเพศทั่วไป ซึ่งได้แก่ประโยชน์ต่างๆ
ที่คู่สมรสทั่วไปพึงมีพึงได้ เช่น สิทธิทางทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
สิทธิที่จะได้ลดหย่อนภาษี สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรม
สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีคู่สมรสถูกทำละเมิด หรือสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแทนคู่สมรสตลอดทั้งสิทธิอื่นๆ
ที่คู่สมรสต่างเพศพึงมีพึงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
ผู้รักร่วมเพศจึงต้องการให้สถานะของตนเป็นที่ยอมรับในสายตาของ กฎหมาย
จะได้ไม่ต้องเป็นพวก “ แบบจิต” อีกต่อไป ทัศนคติของศาลเกี่ยวกับสถานะของผู้รักร่วมเพศในอเมริกาประเทศอเมริกานับว่าเป็นประเทศที่มีกฎหมาย
โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง
ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติต่างๆ ที่รับรองสิทธิของประชาชนในอันที่จะไม่ถูกแทรกแซง
โดยกฎหมายของมลรัฐหรือแม้แต่กฎหมายของสหพันธรัฐ เมื่อใดก็ตามที่สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนถูกกระทบกระเทือนโดยกฎหมายของมลรัฐหรือแม้แต่ของสหพันธรัฐจะมีการทดสอบเสมอว่ากฎหมายนั้น
ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยเหตุที่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสัมพันธ์ทางครอบครับจะเป็นเรื่องที่แต่ละมลรัฐออกกฎหมายกันเอง
โดยรัฐบาลกลางมิได้เข้าไปก้าวก่าย กฎหมายเหล่านี้มักจะถูกทดสอบเสมอว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วยการสมรส
ซึ่งผู้รักร่วมเพศมักจะอ้างเสมอว่าตนเองน่าจะมีสิทธิทำการสมรสได้เช่นกัน แม้ว่ากฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ทางครอบครัวจะเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของมลรัฐแต่ละมลรัฐก็ตาม
แต่ก็พอสรุปได้ว่า แนวโน้มส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันคือ
ถือว่าการสมรสจะมีได้ก็แต่เฉพาะ “ ชาย” และ “ หญิง” เท่านั้น
และหมายความถึง “ ชายจริง” และ “ หญิงแท้” เพราะกฎหมายยังไม่ยอมรับการสมรสระว่างชายกับชายด้วยกัน
หรือหญิงกับหญิงด้วยกัน หรือแม้แต่ชายหรือหญิงที่ได้ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว
กฎหมายก็ยังไม่ยอมรับว่าเป็น “ ชาย” หรือ “ หญิง” ในสายตาของกฎหมาย
ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในคดีที่จะกล่าวต่อไป
ยิ่งกว่านั้นกฎหมายของบางมลรัฐถึงกับห้ามการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกันอย่างชัดแจ้ง
เช่น กฎหมายของมลรัฐเท็กซัส๓ เป็นต้น กระนั้นก็ตาม ยังไม่เคยปรากฏว่า มีศาลใด
ไม่ว่าของมลรัฐที่ห้ามการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกันขัดต่อรัฐธรรมนูญเลยคดีต่างๆ
เกี่ยวกับสถานะของผู้รักร่วมเพศที่ขึ้นสู่ศาลในอเมริกา
ตลอดทั้งปฏิกิริยาที่ศาลมีต่อสถานะของบุคคลเหล่านั้น พอจำแนกได้เป็นสองประเภท คือ
ประการแรก คือ
กรณีที่มีการสมรสเกิดขึ้นแล้ว โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำคัญผิด หรือ
ถูกฉ้อฉลว่าคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพศตรงข้าม
แต่มาทราบความจริงในภายหลังว่าคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพศเดียวกับตน
ประการที่สอง คือ
กรณีที่ทั้งสองฝ่ายเป็นเพศเดียวกัน และตั้งใจที่จะจดทะเบียนสมรสกัน
ในกรณีแรกนั้น
อาจถือว่าเป็นการสมรสโดยสำคัญผิดหรือถูกฉ้อฉลก็ได้
โดยที่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทราบความจริงแต่แรกก็จะไม่ “ หลวมตัว” ทำการสมรสด้วย
คดีที่โด่งดังเกิดขึ้นที่ นิวยอร์ค คือ คดี Anonymous V. Anonymous ๔ ศาลสูง
นิวยอร์คตัดสินว่า การสมรสระหว่างบุคคลที่มีเพศเดียวกันไม่ถือว่ามีผลในทางกฎหมาย
แม้ว่าสามีจะเชื่อว่าภรรยาของตนเป็นเพศหญิงในขณะทำพิธีสมรสก็ตาม
ถ้าปรากฏความจริงว่าฝ่ายภรรยาได้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ศาลให้เหตุผลว่า
แม้กฎหมายของมลรัฐนิวยอร์ค๕ จะไม่มีบทบัญญัติห้ามการสมรสระหว่างบุคคลที่เป็นเพศเดียวกันก็ตาม
แต่โดยจารีตประเพณีและโดยคำจำกัดความทั่วไปของคำว่า “ การสมรส” แล้ว
ย่อมหมายถึงเฉพาะการอยู่ร่วมกันระหว่างบุคคลต่างเพศที่แท้จริงเท่านั้น
ศาลไม่อาจตีความเป็นอื่นได้
ดังนั้นจึงไม่อาจถือได้ว่ามีสัญญาสมรสเกิดขึ้นระหว่างโจทก์
ไม่ว่าโดยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายก็ตาม หลังจากคดีนี้ก็มีคดี B.v.B. ๖ ตามมา
โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ฝ่ายภรรยาขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้การสมรสสิ้นสุดโดยอ้างว่าสามีของตนเป็นเพศหญิง
ศาลตัดสินว่าไม่มีการสมรสเกิดขึ้น โดยให้เหตุผลว่า
ฝ่ายสามีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นเดียวกับสามีทั่วๆ ไปที่เป็นเพศชายได้๗ และข้ออ้างของฝ่ายสามีที่ขอหย่าจึงตกไป
เพราะเมื่อไม่มีการสมรสก็ไม่อาจมีการหย่าได้ และในคดี Corbett
v Corbett ๘ ศาลตัดสินว่าการสมรสระหว่างชายกับชายโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิงเป็นโมฆะ
โดยศาลให้เหตุผลว่า แม้จะมีการเปลี่ยนอวัยวะเพศแล้วก็ตาม
ก็ไม่ทำให้ผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะเพศกลายเป็นชายหรือหญิงตามนัยของกฎหมายได้
ส่วนในกรณีที่สอง
ปรากฏในคดี Baker v. Nelson ๙ ศาลสูงแห่งมลรัฐมินิโซต้า
เป็นศาลแรกที่ตัดสินคดีการขอจดทะเบียนสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกัน
โดยศาลดังกล่าวปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าไม่มีกฎหมายของมลรัฐบัญญัติห้ามการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกัน
และศาลได้อ้างเหตุผลเช่นเดียวกับในคดี Anonymous ว่าโดยจารีตประเพณีและโดยคำจำกัดความของคำว่า
“ การสมรส” หมายความถึงการสมรสระหว่างบุคคลต่างเพศเท่านั้น
ศาลยังปฏิเสธด้วยว่าผู้ร้องถูกริดรอนสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
เมื่อศาลไม่ยอมให้ผู้ร้องทำการสมรส คดีต่อมาคือ คดี Jones v.
Hallhan ๑๐ ซึ่งหญิงกับหญิงต้องการจดทะเบียน
แต่ศาลอุทธรณ์มลรัฐเคนตั๊กกี้ปฏิเสธที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรส
โดยอ้างจารีตประเพณี และคำจำกัดความของคำว่า “ การสมรส” เช่นเดียวกับในคดี
Baker ๑๑ และในคดี Singer v. Hara ๑๒ ศาลแห่งมลรัฐวอชิงตันได้ปฏิเสธที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างุคคลเพศเดียวกัน
โดยให้เหตุผลเดียวกับคดี Baker และศาลยังวินิจฉัยต่อไปถึงสิทธิพื้นฐานของผู้ร้องด้วย
โดยเฉพาะบทบัญญัติแห่งกฎหมายครอบครัวของมลรัฐซึ่งบัญญัติว่า “ การสมรส” เป็นสัญญาระหว่าง
“ บุคคล” ที่มีอายุ ๑๘ ปี ...” ๑๓ และ
โดยที่กฎหมายใช้คำว่า “ บุคคล” นี้เอง
ทำให้ผู้ร้องในคดีนี้อ้างว่า กฎหมายมิได้ใช้คำว่า “ ชาย” หรือ “ หญิง” แต่ใช้คำกลางๆ
ว่า “ บุคคล” ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่ศาลจะปฏิเสธการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกัน
แต่ศาลกลับไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างดังกล่าว โดยศาลให้เหตุผลว่า แม้กฎหมายจะใช้คำว่า “ บุคคล” ก็ตาม
แต่การสมรสนั้นจะต้องมีทะเบียนสมรส
ซึ่งหมายถึงทะเบียนสมรสระหว่างชายและหญิงเท่านั้น
ศาลจึงไม่อนุญาตให้มีการจดทะเบียน ศาลได้วินิจฉัยต่อไปด้วยว่า การที่ผู้ร้องถูกปฏิเสธมิให้ทำการสมรสนั้น
มิใช่เพราะผู้ร้องถูกกีดกันทางเพศแต่อย่างใด หากเป็นเพราะ “ ธรรมชาติ” หรือ “ สภาพ” ของการสมรสเองมากกว่า
พอจะสรุปได้ว่า
แนวโน้มของศาลในประเทศอเมริกานั้น ยังไม่ยอมรับการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกัน
โดยอ้างจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาบ้าง อ้างคำจำกัดความตามพจนานุกรมต่างๆ บ้าง
และถึงแม้ตัวบทกฎหมายจะเปิดโอกาสให้ศาลตีความได้กว้างขวางเพียงใดก็ตาม
ศาลก็ไม่ต้องการตีความให้กว้างถึงขนาดยอมให้บุคคลเพศเดียวกันทำการสมรสกันได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ศาลในคดีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นมิได้วินิจฉัยเลย คือ ปัญหาที่ว่าทำไมบุคคลเพศเดียวกันจึงไม่สามารถสมรสกันได้
มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากจารีตหรือ คำจำกัดความหรือไม่
ที่ไม่ยอมให้บุคคลดังกล่าวสมรสกัน
อะไรคือสาระสำคัญหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสมรส
หรือว่าบุคคลเหล่านี้ถูกกีดกันโดยค่านิยมเก่าๆ หรือ อคติส่วนตัวโดยปราศจากเหตุผลอื่นใดมาสนับสนุน
สถานะของผู้รักร่วมเพศตามกฎหมายไทย
บทบัญญัติในมาตรา ๑๔๔๘
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ บัญญัติว่า “ การสมรส
จะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว ....” ถ้าพิจารณาเผินๆ
เหมือนกับว่ากฎหมายได้บัญญัติไว้ชัดเจนแล้วว่าการสมรสจะมีได้ก็แต่ระหว่าง “ ชาย” กับ “ หญิง” เท่านั้น
กระนั้นก็ตาม ตัวบทมาตรา ๑๔๔๘ ยังเปิดช่องให้คิดต่อไปได้ว่า คำว่า “ ชาย” และ “ หญิง” นั้นมีความหมายเพียงใด
จะหมายความถึงเฉพาะ “ ชายจริง” “ หญิงแท้” หรือ
รวมถึง “ ชายเทียม” “ หญิงเทียม” ด้วยหรือไม่ เพราะบุคคลสองประเภทหลังนี้นอกจากสภาพจิตใจจะกลายเป็นเพศตรงข้ามแล้ว
สภาพร่างกายก็กลายเป็นเพศตรงข้ามไปด้วยโดยการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ
ซึ่งมิใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด
ในสมัยที่วิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี
ปัญหานี้ยังไม่เคยมีการศึกษาอย่างละเอียดจริงจัง
แม้แต่ในตำรากฎหมายครอบครัวเองก็มิเคยกล่าวถึงปัญหานี้เลย
และคดีทำนองเดียวกับที่เกิดในศาลอเมริกาก็ไม่เคยขึ้นสู่ศาลไทยมาก่อน
แต่ถึงแม้จะมีคดีขึ้นสู่ศาลไทย
ผู้เขียนก็เชื่อว่าผลของการตัดสินคงเป็นทำนองเดียวกับศาลในอเมริกา
และก็อาจอ้างเหตุผลทำนองเดียวกับศาลในอเมริกาด้วยก็เป็นได้
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เนื่องจากค่านิยมของสังคมไทยในเรื่องครอบครัวค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าในสังคมตะวันตกมาก
เพราะขนบธรรมเนียมก็ดี การอบรมสั่งสอนก็ดี
ต่างมีอิทธิผลมากต่อทัศนคติของคนในสังคมไทยอย่างมาก
กระนั้นก็ตาม
ในอนาคตข้างหน้าหรือแม้แต่ในปัจจุบันเอง
นักกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาของผู้รับร่วมเพศอย่างแน่นอน
และนักกฎหมายผู้มีความรับผิดชอบคงไม่ปล่อยให้ปัญหานี้ผ่านไปโดยไม่หาทางแก้ไข
หรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นที่ต้องรับผิดชอบต่อไป
โดยที่นักกฎหมายกลับไม่มีบทบาทเลยทั้งๆ ที่ปัญหาดังกล่าวท้าทายนักกฎหมายมากกว่าคนในวงการอื่นเสียอีก
ดังนั้น
ในส่ว่นที่จะกล่าวต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงสถานะทางกฎหมายครอบครัวของผู้รับร่วมเพศตามกฎหมายครอบครัวปัจจุบันว่าเอื้ออำนวยต่อสถานะของ
ผู้รักร่วมเพศมากน้อยเพียงใด ซึ่งในการศึกษาสถานะของผู้รักร่วมเพศตามกฎหมายครอบครัวนี้
อาจแยกพิจารณาได้เป็นสองประเด็น
ประเด็นแรก
เป็นกรณีที่บุคคลเพศเดียวกันจะทำการสมรส
ประเด็นที่สอง
เป็นกรณีที่มีการสมรสเกิดขึ้นแล้ว โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำคัญผิด หรือ ถูกฉ้อฉล
ในประเด็นแรก หากบุคคลเพศเดียวกันไม่ว่าจะเป็นชายด้วยกันหรือหญิงด้วยกันจะทำการสมรสตามนัยแห่งมาตรา
๑๔๔๘ ประวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คงถือไม่ได้ว่ามีการสมรสเกิดขึ้น เพราะมาตรา ๑๔๔๘ ใช้คำว่า
“ ชาย” และ “ หญิง” ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นกรณีที่มีร่ายกายเป็นชายและหญิงมิใช่มีร่างกายเป็นชายหรือหญิงทั้งคู่
แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีจิตใจเป็นหญิง แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่จะทำการสมรสกันนั้น
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทำการผ่าตัดแปลงเพศทำให้สภาพร่างกายเป็นหญิงหรือชายได้
กรณีนี้จะถือได้หรือไม่ว่า ผู้ที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศนั้นเป็น “ ชาย” หรือ “ หญิง” ตามนัยมาตรา
๑๔๔๘ ปัญหานี้ขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมาย คำว่า “ ชาย” และ “ หญิง” ว่าจะหมายความเฉพาะแต่
“ ชายจริง” “ หญิงแท้” แต่โดยกำเนิดเท่านั้น
หรือจะหมายความรวมถึง “ ชายเทียม” “ หญิงเทียม” ที่ผ่าตัดแปลงเพศในภายหลังด้วย
ยังไม่เคยปรากฏว่ามีปัญหาทำนองนี้ขึ้นสู่ศาลไทยมาก่อน
แต่ถ้าพิจารณาจากแนวคำพิพากษาของศาลในอเมริกาแล้ว จะเห็นได้ว่า ศาลไม่ตีความคำว่า “ ชาย” และ “ หญิง” ก็ตาม (คดี
Singer v. Hara) ศาลก็ยังตีความคำว่า “ บุคคล” ให้หมายความถึงแต่เฉพาะ
“ ชายจริง” และ “ หญิงเท้” เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ยังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า ในการตีความนี้
ศาลมิได้วินิจฉัยถึงสาระสำคัญหรือวัตถุประสงค์ของการมีครอบครัวมาประกอบการพิจารณา
เพราะถ้าศาลนำสิ่งเหล่านี้มาประกอบการพิจารณา ศาลอาจตีความคำว่า “ ชาย” หรือ “ หญิง” ให้รวมถึงบุคคลที่ผ่าตัดแปลงเพศด้วยก็ได้
ในประเด็นที่สอง
ถ้าเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจดทะเบียนสมรสโดยสำคัญผิดหรือถูกฉ้อฉล และคู่สมรสฝ่ายนั้นมารู้ความจริงในภายหลังว่า
คู่สมรสของตนนั้นเป็นเพศเดียวกับตน และได้ผ่าตัดแปลงเพศ
ปัญหามีว่าการทดทะเบียนสมรสดังกล่าวจะมีผลทางกฎหมายประการใดหรือไม่ สำหรับปัญหานี้
ต้องดูว่าสาระสำคัญของคำว่า “ การสมรส” ตามนัยมาตรา ๑๔๔๘ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของคู่สมรสว่าต้องเป็นชายโดยกำเนิดหรือหญิงโดยกำหนิดหรือไม่
ถ้าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว
ความรู้หรือไม่รู้ของคู่สมรสก็มิใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด
เพราะตราบใดที่คู่สมรสมิใช่ “ ชายจริง” “ หญิงแท้” แล้ว
ก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการสมรสเกิดขึ้น สิ่งที่นายทะเบียนออกให้จึงไม่ถือว่าเป็นทะเบียนสมรส
คงไม่ต่างจากกระดาษธรรมดาๆ ใบหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากคำว่า “ ชาย” และ “ หญิง” มีความหมายรวมถึงบุคคลที่แปลงเพศด้วยแล้ว
จะถือว่าไม่มีการสมรสเกิดขึ้นคงไม่ได้
แต่มีปัญหาว่าการสมรสโดยสำคัญผิดเช่นนั้นเป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคล (มาตรา ๑๕๐๕) ซึ่งจะทำให้การสมรสเป็นโมฆียะ
หรือว่าเป็นการสำคัญผิดใน “ คุณสมบัติ” ของบุคคลซึ่งไม่ทำให้การสมรสเสื่อมเสียไป
เพราะไม่มีกฎหมายบัญญติให้การสมรสเสื่อมเสียเพราะเหตุสำคัญผิดในคุณสมบัติของคู่สมรส
แต่ถ้าเป็นกรณีฉ้อฉล (มาตรา ๑๕๐๖) ก็ดูแต่เพียงว่าถึงขนาดหรือไม่เท่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องนำข้อเท็จจริงมาพิสูจน์กัน
แต่จะเห็นได้ว่าในคำพิพากษาของศาลอเมริกานั้น ในคดี Anonymous
ศาลมิได้แยกหรือชี้ให้ชัดเจนไปว่า
การสำคัญผิดในเพศของคู่สมรสนั้นเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่สมรสหรือเป็นการสำคัญผิดในคุณสมบัติของคู่ขึ้น
แต่ศาลก็ตัดสินว่าไม่มีการสมรสเกิดขึ้น
เพราะตราบใดที่คู่สมรสมิใช่ชายจริงและหญิงแท้แล้ว
ก็มิต้องพิจารณาต่อไปว่าการสมรสจะเกิดขึ้นโดยสำคัญผิดหรือฉ้อฉลหรือไม่
และถึงแม้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายต่างสำคัญผิดซึ่งกันและกัน
หรือต่างฉ้อฉลซึ่งกันและกัน เช่น ฝ่ายชายคิดว่าคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นหญิงในขณะที่ฝ่ายหลังก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นชาย
ผลในทางกฎหมายคงอธิบายได้เช่นเดียวกันคือ
ถ้าคุณสมบัติของการสมรสอยู่ที่ความเป็นหญิงและชายโดยกำเนิด
การสมรสก็ไม่เกิดขึ้นเลย
แต่ถ้าคุณสมบัติของผู้ที่จะทำการสมรสมิได้จำกัดเพียงชายหรือหญิงโดยกำเนิด
ถ้าเป็นกรณีสำคัญผิดก็อาจทำให้การสมรสเป็นโมฆียะได้ ( ถ้าการสำคัญผิดในเพศถือเป็นการสำคัญผิดในตัวบุคคลตามนัยมาตรา
๑๕๐๕) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต้องฉ้อฉล อาจจะอ้างประโยชน์ตามมาตรา ๑๕๐๖ เพื่อให้การสมรสเป็นโมฆียะไม่ได้
เพราะถือว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (มาตรา ๕) ทั้งคู่ก็ได้
การพิจารณาผลในทางกฎหมายดังกล่าวข้างต้นนี้
เป็นการพิจารณาที่มิได้เป็นเด็ดขาดหรือยุติแต่ประการใด
เพราะการที่จะมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างใดนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการตีความด้วย
และในการตีความจะพิจารณาโดยใช้เหตุผลทางตรรกวิทยาอย่างเดียวไม่ได้
ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะทัศนคติหรือแนวปฏิบัติของสังคมประกอบด้วย หรือ
จะต้องดูผลกระทบที่จะเกิดต่อผู้รักร่วมเพศประกอบด้วย เช่น
ปัญหาที่ว่าบุคคลที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศจะกลายเป็นบุคคลที่ถูกลืม
เพราะตนเองจะสมรสกับใครไม่ได้เลย ไม่ว่ากับชายหรือหญิงก็ตาม
เพราะตนเองมิใช่ชายหรือหญิงโดยกำเนิดเสียแล้ว
ปัญหานี้เองที่นักกฎหมายควรคำนึงถึงด้วยว่ากฎหมายควรจะยอมรับหรือคุ้มครองบุคคลประเภทนี้มากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็โดยการพิจารณาถึงสาระสำคัญ
หรือวัตถุประสงค์ของการมีครอบครัวว่าเป็นประการใดกันแน่
อะไรคือสาระสำคัญของการมีครอบครัว
การพิจารณาถึงสาระสำคัญของการมีครอบครัว
จะช่วยให้เข้าใจถึงธรรมชาติของการมีครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น
อันจะเป็นสิ่งที่จะนำมาประกอบการตีความกฎหมายหรือสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ตลอดทั้งสามารถคุ้มครองสิทธิของบุคคลบางประเภทที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเหมือนคนอื่นๆ
แต่ในการพิจารณาถึงสาระสำคัญของการมีครอบครัวยังมีปัญหาต่อไปอีกว่าแนวความคิดใดเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
อันจะนำไปสู่การคุ้มครอง สิทธิของบุคคลโดยเสมอหน้ากัน
สาระสำคัญประการแรก
คือ จะถือหรือไม่ว่าสาระสำคัญของการมีครอบครัวอยู่ที่การสืบชาติพัน์มนุษย์แต่เพียงอย่างเดียว
จึงขัดต่อวัตถุประสงค์นี้ แต่สิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันคือ
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจทำให้แนวความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไป
ดังจะเห็นได้จากการรณรงค์วางแผนครอบครัว
หรือโดยการที่รัฐออกกฎหมายสนับสนุนครอบครัวให้มีบุตรน้อย (ในบางประเทศ) เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้
การยอมรับสถานะของผู้รักร่วมเพศจะเป็นปัจจัยเสริมแนวโน้มใหม่ของสังคมหรือไม่
และในบางครั้ง การสมรสระหว่างชายและหญิงเองก็ไม่อาจตอบสนองสาระสำคัญในข้อนี้ได้
เช่น กรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเป็นหมัน
ซึ่งความไม่สามารถสืบชาติพันธุ์มนุษย์ได้เพราะเหตุนี้ก็หาได้ทำให้การสมรสเสื่อมเสสียแต่ประการใดไม่
สาระสำคัญประการที่สอง
หากสาระสำคัญของการมีครอบครัวเป็นเรื่องที่กฎหมายต้องการคุ้มครองบุคคลที่ต้องการผูกพันชีวิตอยู่ร่วมกัน
ก็ไม่มีเหตุผลใดที่กฎหมายจะไม่ยอมรับรองการใช้ชีวิตร่วมกันของบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน
เพราะบุคคลเหล่านี้บางครั้งสามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามีความผูกพันที่ยั่งยืนมั่นคงไม่แพ้คู่สมรสต่างเพศเลย
และอาจมั่นคงกว่าบางคู่ด้วยซ้ำไป
ถึงแม้กฎหมายจะรับรองสิทธิของผู้รักร่วมเพศในอนาคตข้างหน้าก็ตาม
ก็มิได้หมายความว่าปัญหาต่างๆ จะหมดไป ตรงกันข้าง
การแก้ไขกฎหมายให้ยอมรับสถานะของผู้รักร่วมเพศมากขึ้น
กลับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอื่นที่จะตามมา
อย่างน้อยที่สุดกฎหมายครอบครัวในปัจจุบันเองจะได้รับความกระทบกระเทือนในหลายๆ ส่วน
นอกจากนี้ กฎหมายอื่นๆ ก็จะได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย
บางทีถึงกับกลัวไปว่าชายจะเปลี่ยนเพศเป็นหญิงเพื่อจะได้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การจะแก้ไขกฎหมายหรือไม่นั้น จำต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
เช่น ขนบธรรมเนียมและแนวปฏิบัติของคนในสังคมทัศนคติโดยทั่วไปของคนในสังคมเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ
ตลอดทั้งผลที่จะตามมาจากการแก้ไขกฎหมายว่ามีผลต่อสังคมมากน้อยเพียงใด
ซึ่งปัจจัยทางสังคมนับว่ามีความสำคัญมากต่อการแก้ไขกฎหมาย
เพราะกฎหมายและสังคมเป็นของคู่กัน ไม่อาจจะแยกอันใดอันหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่ออีกอันหนึ่งได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.lawonline.co.th
อ้างอิง
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น