การกู้ยืมเงินโดยไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว้
จะคิดดอกเบี้ยกันอย่างไร
ยามบายแก่ๆ แดดร่มลมตก
ใต้ร่มต้นมะขามหน้าบ้านตาน้อย ตานิดกำลังนั่งก๊งสุรากะนายใหญ่บนแคร่ไม้ไผ่เก่า
ๆ
ส่วนนายน้อยที่เกริ่นไว้เริ่มแรก ก็นอนแผ่เมาหลับอยู่ข้างๆ ส่วนตานิดก็ทำตาเบลอๆ
ทำท่าอยากจะนอนไปอีกคน
นายใหญ่ก็เลย
เอื้อนเอ่ยหันคำถามปุจฉากับนายนิด
นายใหญ่ : ดอกอะไรเอ่ย...? งอกงามแบ่งบานโดยไม่รู้จักเหี่ยวไม่รู้จักเฉา
นายนิด : อุวะ..ถามมาได้ดูถูกกันเห็นๆ
ข้านี่นะจะบอกให้ เรียนจบ ป. 1
ซ้ำมา 6 ปี
นายนิด : คำตอบสุดท้ายก็คือ ดอกเบี้ยนะคร๊าบ..
นายใหญ่ : เอ็งรู้ได้อย่างไง
นายนิด : อ้าว..! ทำเป็นงง ก็เงินที่เอ็งยืมข้าไปนะ
ตอนนี้ดอกเบี้ยบานเต็มกระบุงแล้ว เมื่อไหร่จะใช้คืน
นายใหญ่ : อ้อ..หรอ..ลืม อิอิ
ถ้าเราไม่ได้ตกลงเรื่องของดอกเบี้ยกันไว้
ในวันที่ได้มีการทำสัญญาขอกู้ยืมเงินกัน เราจะสามารถคิดดอก
เบี้ยเอากับผู้กู้เงินกับเราได้ไหม
แล้วเราจะสามารถเรียกได้ในอัตราร้อยละเท่าไหร่
ซึ่งในวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ
ในเรื่องเหล่านี้กันครับ
ถ้าคนที่มาขอกู้ยืมเงินกับเรานั้น
เป็นคนที่เรารู้จัก แต่ไม่ค่อยสนิทสนมซักเท่าไหร่ อย่างนี้ไม่ค่อยจะมีปัญหาใน
เรื่องเกี่ยวกับดอกเบี้ยมากนัก
เพราะอย่างไงเสียก็ต้องเรียกเอาอยู่แล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะคิดว่าเรื่องอะไรจะช่วย
เหลือแบบฟรีๆ เสี่ยงก็เสี่ยง
เกิดให้ยืมไปแล้วถึงเวลาไม่เอาเงินมาคืนก็ซวยนะสิ อย่างนี้ก็เรียกเป็นพิธีหน่อย
เอาเป็นค่า
น้ำชงน้ำชาไปละกัน
ร้อยละสิบห้าขาดตัว อันนี้ก็ว่ากันไปนะครับ
ทั้งนี้ฝ่ายผู้ให้กู้เงินก็คงไม่ง้ออยู่แล้ว อย่างว่าจะเอาก็
ช่างไม่เอาก็ช่างไม่เสียหายอะไร
ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นอย่างนั้นเสมอ
ที่นี้กลับกันมาดูฝ่ายผู้ขอกู้เงินกันบ้าง ก็จะทำ
อย่างไงได้ละ
ก็จ๊ะจ๋าเท่าไหร่ก็ได้จร้า แบบว่าขอให้ได้เงินมาหมุนก่อนละกัน
ส่วนจะคืนได้หรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง
ค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง
โดยมากก็เป็นอย่างนี้แหละครับ "เวลาจะเอาก็มือก็อ่อนยกมือไหว้
เวลาจะขอคืนมือก็ลีบติด
กับตัว
ก็มันยังไม่มีจะให้ทำอย่างไงละจ๋า" นี่ก็เรื่องหนึ่ง
หากเป็นกรณีของเพื่อนสนิท
หรือคนที่เรารู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี รวมไปถึงบรรดาญาติๆ นะหรือ อย่างนี้ก็จะ
เป็นไปอีกแบบหนึ่งเลย
อย่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก จะไม่ให้ก็กลัวจะโดนว่า
จะบอกว่าไม่มีก็ใช่เรื่องกลัวจะโดน
กลุ่มก๊วนเพื่อนๆ เม้าเอาอีก
หากให้ไปและให้ทำหนังสือสัญญา ก็อาจโดนว่าแบบประชดๆ อีก ว่า "แหม..ไม่ไว้ใจกัน
เลยนะ" แล้วเรื่องของดอกบงดอกเบี้ยก็ไม่ต้องพูดถึงกันเลย
สุดท้ายแล้วก็ต้องควักตังค์ในกระเป๋าให้ แล้วต้องทำหน้า
ยิ้มๆ แล้วพูดบอกไปว่า "มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาให้แล้วกัน"
มีอย่างนี้อีกนะเด้อละ
ต่อมาภายหลังปรากฏว่า
เดชะบุญที่ทำมาแต่ครั้งปางก่อนหรืออย่างไร เพื่อนที่สนิท
หรือคนที่คุ้นเคยรู้จักกันคน
นั้น ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
โทรหาก็ไม่รับ ไปที่บ้านก็ไม่เจอ เมื่อเจอพฤติการณ์อย่างนี้เมื่อไหร่ ก็อาจทำให้
เจ้าของเงินนั้น ใจหายใจคว่ำไปได้เหมือนกัน
บางคนก็อาจถึงกินไม่ได้นอนก็ไม่หลับ สาเหตุก็เพราะเงินที่ให้ยืมไปนั้น
มันมากโขเอาการอยู่ เรื่องอย่างนี้ตาสียายสาก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า "ท่าจะโดนเบี้ยวซะแล้ว" เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้
ความเกรงใจที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิมก็คงเหือดแห้งไป
สุดท้ายแล้วก็คงเหลือแต่ความเจ็บใจ แบบว่าไม่น่าจะทำกันอย่าง
นี้เลย เพื่อนกันแท้ๆ
เมื่อตามตัวได้แล้วเรียกเงินคืน
แล้วมีการนำเงินมาคืน อย่างนี้เรื่องก็คงจบไป เพราะถึงแม้ไม่มีกำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน
แต่หากกรณีกลับกันในกรณีที่บอกกล่าวก็แล้ว ทวงถามก็แล้ว
ก็ปรากฏว่าเพื่อนคนนั้นได้หายวับเข้ากลีบเมฆไป
อย่างนี้ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีหวังจะได้คืนอย่างง่ายๆ
คงต้องพึ่งโรงพึ่งศาลกันละ
ซึ่งแบบนี้ทางกฎหมายเขาก็เรียกกันว่า เกิดการผิดนัดผิดสัญญากันขึ้นแล้ว และหากปรากฏอีกว่า
ในขณะที่ทำสัญญากัน หรือในขณะที่ให้ยืมเงินกันนั้นไม่ได้พูดคุยหรือตกลงกันในเรื่องของดอกเบี้ยเอาไว้ อย่างนี้เมื่อมีการผิดสัญญากันขึ้นมา
ผู้ให้ยืมเงินก็มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยเอาจากผู้ยืมเงินได้ ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ได้ยืมไป
โดยสามารถคิดเอากับผู้ยืมเงินได้ นับตั้งแต่วันที่ผู้ยืมเงินได้ผิดนัดผิดสัญญา
จนกว่าผู้ยืมเงินจะนำเงินมาคืนหมดในการคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนี้
เป็นอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้ในกรณีผิดสัญญา
และเป็นกรณีที่ไม่ได้มีการตกลงเรื่องของดอกเบี้ยเอาไว้
สามารถนำไปใช้ได้ในการทำสัญญาต่างๆ ที่ไม่ได้มีการตกลงในเรื่องของดอกเบี้ยเอาไว้
หรือมีการตกลงยินยอมเสียดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้กำหนดเอาไว้ให้ชัดเจนว่า
จะต้องเสียกันเท่าไหร่ หรือในขณะทำสัญญาก็ไม่ได้คิดดอกบงดอกเบี้ยอะไรกันไว้
แต่เมื่อครบกำหนดที่จะต้องนำเงินมาชำระคืนตามสัญญาแล้ว
กลับไม่นำเงินมาชำระตามสัญญา อย่างนี้ตามกฎหมายก็ให้สิทธิกับคู่กรณี ใน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น